มาเก๊านครแห่งกาสิโน

กาสิโน

ล่าสุด รัฐบาลมาเก๊าเตรียมประกาศแผนแม่บทพลิกโฉมธุรกิจการท่องเที่ยวครั้งใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลง ภาคธุรกิจท่องเที่ยวให้มาเก๊าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการพักผ่อนของโลกและเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ภายในปี 2020 หรือปี 2563 โดยเร่งเดินสายบุกตลาดเป้าหมายทั่วโลก

นายเคธี่ ยง หัวหน้าส่วนการท่องเที่ยวมาเก๊า เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวมาเก๊าเข้ามาจัดการประชุมในกรุงเทพฯ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในไทยและสร้างการรับรู้แบรนด์ มาเก๊า ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่แหล่งเกมการพนัน แต่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายเหมาะกับกลุ่มทัวร์แบบ Slow Life เหมือนยุโรปเล็กๆ ในเอเชีย มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกกับตะวันออก  ซึ่งยูเนสโกได้ยกให้มาเก๊าเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2548 มีร้านอาหารชั้นนำจำนวนมาก มีเวิลด์คลาสเอ็นเตอร์เทนเมนต์และโรงแรมระดับ 5-6 ดาว

ทั้งนี้ หากนับพื้นที่เขตการปกครองมาเก๊าถือว่าเล็กมาก เนื้อที่ทั้งหมดเพียง 28.2 ตารางกิโลเมตร แต่มีโรงแรมมากถึง 110 แห่ง โดยปี 2558 เปิดตัวโรงแรมใหม่ 10 แห่ง เช่น สตูดิโอ รีสอร์ต ซึ่งเป็นรีสอร์ตที่ได้รวบรวมบรรยากาศจากภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง และร้านค้าต่างๆ รวมถึงโครงการยักษ์ เดอะ กาแล็กซี่ มาเก๊า มีทั้งโรงแรมเดอะริทซ์ คาร์ลตัน แบบห้องสวีตทั้งหมดแห่งแรก และโรงแรมเจดับเบิลยู แมริออท ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย

แน่นอนว่า มาเก๊ามีจุดแข็งด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ระดับหรูหราและโรงแรมมากกว่าครึ่งมีกาสิโนรองรับกลุ่มลูกค้า เพื่อจับกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับพรีเมียม

ทว่า โจทย์ข้อใหม่อยู่ที่การเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มนักท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่ชาวจีนที่เข้ามามากสุดกว่า 20.4 ล้านคน จากยอดนักท่องเที่ยวทั้งหมด 30.7 ล้านคน เพื่อขยายตลาดใหม่ เช่น อินเดีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และกระจายความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วิกฤตเศรษฐกิจในจีนส่งผลให้การท่องเที่ยวของมาเก๊าหดตัวตามไปด้วย

ปัจจุบันอัตราการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวในมาเก๊าเฉลี่ย 7,000-14,000 บาทต่อหัวต่อทริป และมีวันพักเฉลี่ยเพียง 1.7 คืนต่อทริป โดยนักท่องเที่ยวไทยมีอัตราจับจ่ายเฉลี่ย 5,500 บาทต่อหัวต่อทริป และมีวันพักเฉลี่ยเพียง 1.5 คืนต่อทริป

บทเรียนของมาเก๊าจึงน่าจะเป็นต้นแบบหนึ่งที่รัฐบาลไทยต้องนำมาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย หากจะเปิดกาสิโนเสรี ทั้งการวางสัดส่วนด้านการตลาดและกลุ่มลูกค้า การสร้างธุรกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและผลกระทบต่างๆ

เมื่อเร็วๆ นี้ สังศิต พิริยะรังสรรค์ ได้จัดทำร่างรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ภาษีการพนันและสนามม้า โดยในงานวิจัยเรื่อง โครงการกาสิโนในเขตบริหารพิเศษมาเก๊า ระบุว่า แม้กาสิโนและภาษีเกมพนันถือเป็นรายได้หลักของรัฐบาลมาเก๊า สัดส่วนราว 84.5% ของรายรับรัฐบาล แต่มีผลกระทบทางสังคม คือการหลั่งไหลเข้ามาของพนักงานต่างชาติ

กลุ่มนักวิจัยยังสำรวจพฤติกรรมการเล่นการพนันของประชาชนในเขตประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี รายได้ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี และมีทัศนคติต่อกาสิโนหากมีการเปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมายในแง่ดี คือ ทำให้รัฐมีรายได้ภาษีและรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น มีรายได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น และสามารถลดจำนวนผู้ไปเล่นการพนันในต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะว่า รัฐควรนำรายได้จากกาสิโนมาบริจาคช่วยเหลือสังคม โดยกันรายได้บางส่วนตั้งกองทุนเพื่อประโยชน์แก่สังคม และควรมีวิธีตรวจสอบเม็ดเงินที่ชัดเจนโดยประชาชน และควรกำหนดการเข้าเล่นการพนัน เช่น อายุ จำนวนเงินของผู้เล่น ห้ามข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามาเล่นการพนัน ผู้เข้าเล่นกาสิโนต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน มีอาชีพและรายได้ที่แน่นอน รวมถึงมีการจ่ายภาษีการพนัน

สังศิตกล่าวว่า ได้เสนอผลการศึกษาการเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศไทยให้กรมสรรพสามิต เนื่องจากมีผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลบ่อนกาสิโน ทั้งกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนสูงกว่า 6-7 แสนล้านบาท เพื่อให้กรมสรรพสามิตปรับปรุงโครงการภาษีการพนันในอนาคต หากรัฐบาลเห็นด้วยก็พร้อมดำเนินการได้ทันที